เที่ยว Luxembourg เมืองหลวงเล็กๆ แต่ประทับใจในความงดงาม

 

Hallo! สวัสดีค่ะ

โพส3 แล้ว เย้ๆ ดีใจที่ได้มาเล่าเรื่องราวการท่องเที่ยวให้เพื่อนๆ ได้ติดตามกันอีกครั้ง หลังจากที่ช่วงนี้ชีพจรลงเท้า เที่ยวตลอดเลย ออกจากบ้านทุกวัน แต่บางครั้งก็ไม่ได้ออกไปไหนไกลแค่ไปทางข้าวเมืองใกล้ๆ เท่านั้นเองค่ะ

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเราไปประเทศที่มีขนาดที่เล็กที่สุดในยุโรป แต่สวยงามและมีมนต์เสน่ห์ที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ทั้งยุโรปและทั่วโลกเลยทีเดียว นั่นคือ ประเทศลักเซมเบิร์กนั่นเองค่ะ

เราเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวค่ะ ออกเดินทางจากเยอรมนีไปตามถนนสายหลักหมายเลข6 เส้นทางเดียวกันกับที่ตรงไปปารีสค่ะ

เราแวะชมเมโมเรียลที่ระลึกในการลงนานสนธิสัญญาเกี่ยวกับการเข้าเขตแดนที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งของประเทศลักเซมเบิร์กก่อนที่เราจะมุ่งตรงไปยังเมืองหลวง เมืองนี้คือเมือง เชงเก้น สะกดว่า Schengen เหมือนกันกับวีซ่าเชงเก้นนั่นเลยค่ะ เพราะว่าเมืองนี้นี่ล่ะที่เป็นที่มาที่ไปของวีซ่าเชงเก้้น ก็เริ่มจากประเทศลักเซมเบิร์ก เบลเยี่ยม ฮอลแลนด์ ที่ในตอนนั้นได้ลงนานกันเปิดด่านเข้าประเทศโดยไม่ต้องใช้พาสปอร์ตสำหรับชาวยุโรปด้วยกันเอง ทำให้คนบ้านใกล้เรือนเคียงสามารถผานด่านเข้าออกกันได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก การเดินทางมาท่องเที่ยวลักเซมเบิร์กจึงเริ่มคึกคักตั้งแต่นั้นมา และในตอนหลังได้กลายเป็นวีซ่าท่องเที่ยวแบบเชงเก้นสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปอย่างเราๆ ที่ว่า ถ้าใครจะเข้ายุโรปก็ต้องไปขอวีซ่าแบบเชงเก้นก่อนถึงจะเข้ายุโรปได้ และจะไปเที่ยวประเทศไหนก็ได้ในกลุ่มประเทศเชงเก้นโดยไม่ต้องไปของวีซ่าประเทศนั้นๆ เพิ่มให้ยุ่งยากอีกต่อไป

ต้องขอบคุณกลุ่มประเทศแรกๆ สำหรับแนวความคิดนี้เลย ที่ทำให้คนไทยอย่างเราสามารถเข้าไปเยี่ยมชมประเทศต่างๆ ในยุโรปได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น

แวะชมกันพอหอมปากหอมคอแล้วเราก็เดินทางต่อไปยังเมืองหลวงของประเทศลักเซมเบิร์กกันต่อค่ะ ตื่นเต้นๆ ที่จะได้มาเห็นความงดงามของอีกประเทศหนึ่งซึ่งได้ยินเสียงล่ำลือมาพอสมควรเลยทีเดียว

พอเข้ามาถึงเขตเมืองหลวงก็ตื่นตากับสถาปัตยกรรมของบ้านเมืองเขามาก เพราะว่าตึกต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นล้วนมีความงดงาม ซึ่งแตกต่างจากบ้านเรา และแตกต่างจากทางฝั่งของเยอรมนีด้วยค่ะ

ตึกรูปทรงทันสมัยส่วนใหญ่จะมีกระจกเป็นองค์ประกอบซึ่งต่างจากตึกที่ถูกสร้างมาในสมัยก่อนอย่างเห็นได้ชัด เพราะตึกเก่าๆ นั้นจะเน้นหนักไปที่หินก้อนใหญ่ๆ คราวนี้มันก็เลยมีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างเมืองใหม่และเมืองเก่าของที่นี่เป็นอย่างมากเลยค่ะ

หลังจากที่วนๆ หาที่จอดรถอยู่ได้แล้ว เราก็เดินเข้ามายังแหล่งศูนย์การค้าหรือว่าย่านช้อปปิ้งหลักของเมือง

ด้วยความที่เมืองไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก บวกกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมจำนวนไม่น้อย ทำให้เมืองนี้แลดูพลุกพล่านด้วยผู้คนจำนวนมาก ถึงกระนั้นความงามก็ไม่ได้ดูด้อยลงไปเลย กลับยิ่งทำให้มีความรู้สึกว่าดีใจที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ร่วมกับบรรดาผู้คนจากหลากหลายประเทศทั่วโลก

พอเดินถัดไปอีกหน่อยจากบริเวณนี้ก็จะเต็มไปด้วยร้านอาหารแล้วค่ะ ร้านอาหารเรียงรายเต็มไปหมดเลย อาจจะด้วยความที่วันนี้เป้นวันเสาร์ด้วยมั้ง มีลูกค้านั่งกันเต็มแทบทุกร้านเลย คราวนี้ก็เดินวนๆ ชมบรรยากาศและเดินหาร้านที่จะนั่งเติมพลังก่อนเดินเท้าเที่ยวเมืองนี้ให้หนำใจ

เดินวนไปวนมาก็ได้ร้านที่น่าสนใจ แวะทานอาหาร ไหนๆ ก็มาถึงที่นี้แล้วจะอดชิมรสชาติอาหารที่นี่ไปได้อย่างไร

 

สองจานนี้นี่คือทานคนเดียวนะคะ ด้วยความผิดพลาดนการสั่งอาหาร ตอนแรกสั่งอาหารกันไปแล้วจากด้วนหน้า แล้วจึงเดินมาทาที่นั่งอีกด้ารหนึ่งของร้าน พนักงานที่รับออเดอรืตอนแรกบอกว่าเข้าไปนั่งก่อนแล้วสั่งอาหารเพิ่มได้อีก พอมานั่ง แฟนเราก็สั่งอาหารจากเมนูอีก โดยที่คิดว่าที่สั่งไว้ตอนแรกนั้นเราคงไม่ได้ทาน (ฝรั่งงง 555) ซึ่งเราเองไม่ได้คิดอย่างนั้น สุดท้ายพนักงานก็เดินมาถามว่ามีสั่งอาหารจากด้านหน้าไว้ด้วยมั้ย เราเลยเอารายการที่เป็นกระดาษเล็กๆ ให้ แต่ไม่ได้บอกว่ายกเลิกรายการที่สั่งก่อนหน้านี้ เลยต้องรับผิดชอบอาหารที่สั่งแบบนี้ โหยยย…อิ่มมาก จนทานอย่างหลังไม่หมดเลย โชคดีที่ราคาไม่ได้แพงจนต้องเสียดายตังค์มากที่ทานไม่หมด (แต่ก็แอบเสียดายอยู่ดีค่ะที่ทานอาหารเหลือ)

หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้วเราก้เดินชมเมืองถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกจนพอใจ ในตอนหลังเราจึงใช้บริการรถไฟเที่ยวชมเมืองค่ะ เพราะคิดว่าถ้าเดินเรื่อยๆ คงขึ้นเนินไปชมอาคารเก่าๆ ทีมีความสำคุญไม่ไหวแน่ และเวลาก็กระชั้นชิด ด้วยความที่เราเดินช้า เดินไปเรื่อยๆ หยุดพักชื่นชมความงามอย่างเดียวไม่พอ ต้องเล็งหามุมถ่ายรูปให้ออกมาสวย ด้วยความที่เราก็ไม่ได้เป็นมือโปรในการถ่ายรูปเบอร์นั้น แต่โชคดีที่เมืองเค้ามีความสวยงามอยูแล้ว ไม่ว่าจะถ่ายรูปยังไง มุมไหน ก็ออกมาสวย เราเลยได้รูปถ่ายสวยๆ มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกันค่ะ

ตามมาชมกันได้เล้ยย

ตึกนี้น่าจะเป็สถานที่ราชการค่ะ เพราะดูจากมีธงอยู่ด้านหน้า ถ้าเข้าใจไม่ผิดนะที่นี่ก็คงเป้นสถานีตำรวจนั่นเอง ตึกสวยมากๆ เลย

เดินวนๆ ออกมาเรื่อยๆ ตามทางเดินเล็กๆ ในเมืองก็ออกมายังริมถนนที่มีทางเดินเล็กๆ ทำให้ได้ภาพนี้มาแบบบังเอิญ สวยจริงๆ เป็นสะพานทางรถไฟที่ยังมีรถไฟวิ่งให้เห็นอยู่ ด้านล่างเป็นสวนที่ถูกจัดแต่งงดงาม ส่วนตึกสูงๆ และดุทันสมัยนั้น คือ ฝั่งที่เป็นเมืองใหม่ของเมืองลักเซมเบิร์กค่ะ

ป้อมปราการ Casemates du Bock
วิวสวยๆ ถ่ายจากอีกฟากฝั่ง มองลงไปด้านล่างเห็นแม่น้ำสายสำคัญของเมือง บรรยากาศดีบวกกับอากาศดีๆ ของวันนี้ เลยทำให้ที่นี่มีเสน่ห์และแอบโรแมนติคไปด้วยเลย
เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยความงดงามจากภาพที่เห็น เรียกว่าถ้าใครมาเที่ยวเมืองนี้ ตรงบริเวณนี้คงจะเป็นจุดที่พลาดไม่ได้ที่จะต้องมาถ่ายรูปกันเลยทีเดียว บางคนเค้าก็มานั่งชมบรรยากาศบริเวณนี้กันนานเลยทีเดียวค่ะ ส่วนตัวแล้วเรายืนชมบริเวณนี้อยู่สักพักใหญ่ๆ เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ แต่การได้สัมผัสภาพบรรยากาศด้วยตามนทำให้เรารู้สึกดียิ่งกว่ากันเป็นไหนๆ ใช้เวลาสักนิดสูดลมหายใจและจดจำชวงเวลาดีๆ เวลาที่เราหยิบภาพถ่ายขึ้นมาชมภายหลังมันจึงจะทำให้เราคิดถึงความประทับใจ ณ ช่วงเวลานั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้น

นี่คือสะพานอุโมงค์ที่ค่อนข้างสูงทีเดียวค่ะ เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างเมืองเก่าและเมืองใหม่ ด้านล่างเป็นถนนที่รถยนต์ใช้สัญจรและมีทางเดินเล็กๆ ที่ผู้คนก็สามารถเดินลอดไปมาได้

ถนนสายดังกล่าวทอดยาวขนานไปกับแม่น้ำที่ไหลผ่านเมือง จากมุมนี้มีความสวยงามไม่น้อย

และด้วยความที่เมืองตั้งอยู่ราบลุ่มติดกับแม่น้ำ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ แม้กระทั่งบ้านเรือนสมัยเก่าจึงถูกสร้างให้มีความสูงพ้นจากอันตรายของน้ำท่วมถึง

พอดูชัดๆ ป้อมปราการก็สูงใช่เล่นเหมือนกันนะ

แม่น้ำสายสำคุญที่ไหลผ่านกลางเมือง มีขนาดความกว้างพอสมควรเลยค่ะ และมีน้ำไหลอยู่เช่นนี้ทั้งปี ภาพนี้เราได้มาตอนที่นั่งรถชมเมืองค่ะ ลืมบอกไปว่าค่าบริการคนละ 10 ยูโร ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ด้วยขนาดเมืองที่ไม่ใหญ่มาก ทัวร์เริ่มจากบริเวณสะพานระหว่างเมืองใหม่และเมืองเก่า วิ่งไปเรื่อยๆ พาชมสถานที่สำคัญต่างๆ ของเมืองลักเซมเบิร์ก แต่ไม่มีจอดพักให้ลงไปถ่ายรูปกันนะคะ เพียงแต่ว่ารถจะวิ่งช้าๆ เรื่อยๆ และมีบรรยายประกอบให้ทราบถึงความสำคัญของแต่ละที่ที่เรากำลังผ่าน แล้วรถก็จะพาวนมาจอดที่เดิมคือตรงสะพานที่เราขึ้นนั่นเองค่ะ

ปิดท้ายทริปนี้กันด้วยภาพนี้ก็แล้วกัน เราไม่ได้เข้าไปชมวิหารใหญ่ในเมืองค่ะ เนื่ิองจากเวลามีน้อยและประกอบกับความเพลียนิดๆ จากการเดินทางที่กว่าจะมาถึงก็เล่นเอาเหนื่อย (เพราะเมื่อคืนนอนดึกแล้วต้องตื่นเช้า )

ภาพนี้ถ่ายมาจากโบสถ์ Paroisse de Lëtzebuerg Notre-Dame   ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Saint Michel หรือถ้าจะเรียกชื่อแบบไทยๆ เราก็ โบสถ์นอร์ธเทอดามแห่งลักเซมเบิร์ก ค่ะ เป็นสถาปัตยกรรมแบบบาโรกหรือบาร็อค ซึ่งที่นี่เป็นที่ฝังพระศพของแกรนด์ดัชเชสชาร์ล็อตแห่งลักเซมเบิร์ก

ไปเที่ยวสนุกดีค่ะ ต้องบอกเลยว่าเมืองนี้สวยและประทับใจ เราไปชมบรรยากาศในสถานที่ที่เราสนใจ อาจจะไม่ได้ไปทั่วทุกจุดที่เป็นสถานที่สำคัญของเมืองนี้ ดังนั้นประสบการณ์ที่นำมาถ่ายทอดจึงมีแต่เพียงเท่าที่เล่ามาค่ะ จริงๆ แล้วมันก็มีดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ล่ะ แต่เรามองว่ามันจะเยอะไปรึป่าวถ้าเอามาเล่าสู่กันฟัง 555

แต่ยังไงก็เรียกว่าไม่ผิดหวังเลยค่ะสำหรับเมืองนี้ ใครที่มีโออาสไปเที่ยวยุโรปและมีทริปมาแถวๆ เบลเยี่ยมหรือเยอรมนี ฝรั่งเศสแล้วล่ะก็ ถ้าสามารถแวะมาชมเมืองนี้ได้ แนะนำว่าควรจะมาเลยค่ะ แล้วคุณจะหลงรักเมืองนี้

ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมนะคะ

 

ติดตามการเดินทางท่องเที่ยวของเราได้ที่ https://www.facebook.com/alifesdiary/ 

 

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *